วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การเลือกซื้อเจ้าอูคูเลเล่...

การเลือกหาอูคูเลเล่ ต้องดูกันที่วัสดุ คุณภาพของส่วนประกอบต่างๆ และรายละเอียดของการตกแต่งของตัวอูคูเลเล่เป็นหลัก เพราะจะทำให้เราได้อูคูเลเล่ที่ดี เสียงเพราะ และจะทำให้เราสนุกกับอูคูเลเล่ได้ในระยะยาว ซึ่งราคา ก็จะผันแปรไปตามคุณภาพ หลักการง่ายๆมีอยู่ 2 อย่างคือ ตัว body กับสาย


1 ) ตัว body มีผลต่อคุณภาพเสียงมากที่สุด เสียงจะเพราะน้อย เพราะมาก ก็อยู่ที่วัสดุที่นำมาประกอบเป็นตัว body โดยหลักๆ เลยจะมีอยู่ 2 อย่าง คือไม้จริง (Solid wood) กับ ไม้อัด (Laminated wood) โดยไม้จริง จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า แต่ราคาก็สูงขึ้นไปด้วยเช่นกัน ส่วนไม้อัด ก็ให้เสียงที่ดีในระดับหนึ่ง เหมาะสมกับราคาที่ถูกกว่าไม้จริง ตามงบประมาณ ก็สามารถหาซื้อ รุ่นที่ทำด้วย ไม้อัด Laminated ได้ไม่ยาก ซึ่งถ้าจะให้เสียงดีก็ต้องเริ่มจากไม้อัด Mahogany ขึ้นไป ข้อดีคือ ราคาเหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้น

2) สายก็มีผลกับเสียงอย่างมากเช่นกัน ถ้าจะให้เสียงดีจริงๆ ก็ต้องใช้สายที่มีคุณภาพ ซึ่งจะทำให้ได้เสียงที่ใส และกังวาล เช่น สาย Aquila ทีเป็นสายไนล่อนผสมไส้แกะ โดยจะเป็นสายสีขาว เสียงจะใสเล่นแล้วจะทำให้เราหลงรักการเล่นอูคูเลเล่ เข้าไปอีก แต่ถ้าเป็นสายไนล่อนสีดำที่ติดมาจากโรงงาน ในอูคูเลเล่ระดับล่างลงไป จะให้เสียงทึบๆ และถ้าเล่นไปนานๆจะทำให้เจ็บนิ้ว แล้วจะพาลเบื่อที่จะเล่นอูคูเลเล่ไปซะเลยก็ได้
ซึ่งรายละเอียดลึกๆ ในการเลือกซื้อ ก็ต้องดูกันตามรายละเอียดตั้งแต่ วัสดุ คุณภาพของส่วนประกอบต่างๆ และรายละเอียดของการตกแต่ง

ว่ากันด้วยเรื่องของวัสดุ คุณภาพของส่วนประกอบต่างๆ และรายละเอียดของการตกแต่ง

วัสดุ
1. ไม้ที่ตัว Body
- Laminated ไม้อัด ถ้าเป็นสินค้าราคาถูกๆ ก็จะทำจากไม้อัดเกรดต่ำเช่น Sapale, Maple, Nato แต่ถ้าเป็นเกรดดีหน่อยก็จะใช้ Mahogany เป็นหลักครับ เพราะจะให้เสียงที่นุ่มไพเราะ

- Solid ไม้จริง จะให้เสียงที่ไพเราะ และมีเอกลักษณ์ของเสียงตามประเภทของไม้ เช่น ไม้ Mahogany จะให้เสียงนุ่มๆ, ไม้ Spruce จะให้เสียงแบบพุ่งๆ คือดังก้องกังวาลมากขึ้น ฯลฯ แต่ก็จะทำให้ราคาขยับตัวสูงขึ้น ตามคุณภาพ และความหายากง่ายของไม้ประเภทต่างๆ เช่น ไม้ Koa จะมีราคาแพงที่สุดเพราะเป็นไม้ที่มีเฉพาะในฮาวาย และเป็นไม้หายาก เป็นต้น

ชนิดของไม้
นอกจากนี้ สำหรับไม้จริง Solid ที่นำมาทำเป็นเครื่องดนตรี จะต้องมีการเลื่อยแบบ Quarter Sawn เท่านั้น เพื่อให้ วงปี(เส้นวงกลมที่เราเห็นในรูปด้านล่างตามหน้าตัดของต้นไม้) ของไม้ตั้งฉากกับแนวระนาบด้านบนของไม้ให้มากที่สุด (ตามภาพแผ่นไม้ตรงกลางของภาพด้านล่าง) เพราะจะส่งผลต่อความคงทนของไม้ ซึ่งจะทำให้ไม้ไม่หด บิดงอ หรือเสียรูปง่าย ซึ่งในการเลื่อยวิธีนี้ จะได้ไม้ที่มีคุณสมบัติทางกายภาพที่คงทนที่สุด แต่ก็มีส่วนที่สูญเสียไปเยอะ จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ ไม้ Solid เกรดสำหรับเครื่องดนตรี มีราคาสูงกว่าไม้ทั่วไป ที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เพราะไม้ที่เลื่อยทำเฟอร์นิเจอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศไทย จะเลื่อยกันแบบ plain sawn (Regular Sawn) กันทั้งหมด ดังนั้น ถ้าเลือกซื้อ อูคูเลเล่ไม้จริง ก็ต้องระวังในจุดนี้ไว้ด้วยครับ ไม่งั้น เล่นๆ ไปซักพัก อูคูเลเล่ ของเราอาจจะ โค้งเป็นกะละมัง หรือไม้ปริแตกได้ครับ :-)
การเลื่อย แบบ Quarter Sawn กับ Plain Sawn
2. สาย
- ไนล่อน มีลักษณะเป็นสายสีดำ สินค้าราคาถูกๆ จะใช้สาย ไนล่อนเป็นหลัก เพราะจะมีราคาถูกสุด แต่ก็จะให้เสียงที่ทึบๆ ไม่ใสกังวาล เพราะการสั่นสะเทือนของสายจะน้อย จึงทำให้เมื่อดีดแล้ว สายจะสั่นและให้เสียงแค่ช่วงสั้นๆ ซึ่งก็จะมีหลากหลายคุณภาพ ตามแต่ผู้ผลิตแต่ละราย ในสหรัฐส่วนมากจะใช้สาย GHS กัน แต่ถ้าเป็นที่อื่นๆ ก็จะใช้สายที่เกรดต่ำกว่าลงไปอีก

- ไนล่อนพันทับด้วยไส้แกะแล้วนำมาขัดให้เรียบ มีลักษณะเป็นสายสีขาว เป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่พัฒนาโดยผู้ผลิตสาย ในประเทศอิตาลี โดยนำสายไนล่อนเกรดคุณภาพสูงมาต่อยอดด้วยการนำไส้แกะแท้ๆ ตามฉบับดั้งเดิมของอูคูเลเล่ มาพันทับกับสายไนล่อน แล้วนำไปขัดให้เรียบ ซึ่งทำให้การสั่นสะเทือนของสายนานกว่า ซึ่งทำให้ได้เสียงที่ใส และก้องกังวาล ซึ่งผู้ผลิตอูคูเลเล่เกรดระดับกลางขึ้นไป จะใช้สายชนิดนี้เป็นหลัก ซึงก็คือสาย Aquila นั่นเอง

3. ไม้ที่ส่วน fingerboard และ bridge
- Maple สินค้าราคาถูกจะใช้ไม้ Maple ในส่วนนี้ ซึ่งมีราคาถูก แต่ก็จะสึกหรอได้ง่ายกว่า เนื่องจากคุณสมบัติของไม้ จะไม่ค่อยมีความแข็งแรง

- Rosewood มีคุณสมบัติทีแข็งแรง และทนต่อการสึกหรอได้สูง อูคูเลเล่เกรดระดับกลางขึ้นไป จึงนิยมนำมาใช้เป็นส่วนประกอบที่ fingerboard และ bridge เพราะจะมีอายุการใช้งานที่นาน

คุณภาพของส่วนประกอบต่างๆ
1.ลูกบิด
- Friction เป็นแบบดั้งเดิม แต่ก็มีคุณภาพหลากหลายเกรด หากเป็นสินค้าราคาถูกมักจะใช้วัสดุเป็นพลาสติกและน็อตเกรดต่ำ ซึ่งจะทำให้สายเพี้ยนได้ง่าย แต่ในอูคูเลเล่เกรดระดับกลางขึ้นไปจะใช้วัสดุเกรดสูง ทำให้ไม่มีปัญหาในเรื่องสายเพื้ยนบ่อยๆ

- Geared ลักษณะเหมือนกับตัวลูกบิดตั้งสายของกีตาร์ คือมีเฟืองทด เพื่อทำให้ง่ายต่อการจูนสาย และไม่มีปัญหาเรื่องสายที่เพี้ยนบ่อยๆ คุณภาพก็จะขึ้นอยู่กับวัสดุของส่วนประกอบต่างๆ เช่นพลาสติก นิกเคิล ทองเหลือง ฯลฯ

2. Nut และ Saddle
- พลาสติก มีราคาที่ถูกกว่า แต่การส่งผ่านเสียงจากสาย ไปยังตัวบอดี้ เพื่อกำเนิดเสียงก็จะมีคุณภาพไม่เต็มที่

- กระดูก เป็นวัสดุธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการส่งผ่านเสียง ไปยังตัวบอดี้ เพื่อกำเนิดเสียงได้ดีกว่า เพราะกระดูกมีคุณสมบัติที่มีความพรุนในตัว เสียงจึงส่งผ่านได้ดี

รายละเอียดการตกแต่ง
1. การทำสี
- Satin ลักษณะสีด้านๆ ดูเป็นธรรมชาติ
- Gross จะให้สีแบบแวววาบ

2. Binding ต่างๆ
- พลาสติก
- ไม้
- เปลือกหอย (Abalone)
สรูปใจความสำคัญ ต้องดูกันที่คุณภาพเป็นหลักครับ เพราะจะทำให้เราสนุกกับการเล่นอูคูเลเล่กันไปอีกนาน :-)

ว่ากันด้วยเรื่องของขนาด และสไตล์การเล่น

คราวนี้ มาในเรื่องโทนเสียง กับสไตล์ในการเล่นครับ อย่างที่ทราบกันว่า อูคูเลเล่ มีขนาดที่คนนิยมเล่นกันอยู่ 3 ขนาด คือ Soprano, Concert และ Tenor ซึ่ง แต่ล่ะขนาด ก็ให้สุ่มเสียง ที่แตกต่างกันเล็กน้อย ตามขนาดของตัว body คือ

- Soprano เนื่องจากมีขนาดตัวที่เล็ก จึงให้เสียงที่เล็กๆ ใสๆ หวานๆ แบบดั้งเดิมตามฉบับแหล่งกำเนิดของ อูคูเลเล่ คือ ฮาวาย ก็คือเสียงแบบทะเลๆ นั่นเอง และเนื่องจากความเล็ก ก็จึงทำให้ finger board ก็เล็กตามไปด้วย ซึ่งโดยปกติ ก็จะมีจำนวนเฟรต 12 เฟรต แต่ผู้ผลิตบางที่ ก็เริ่มมีการออกแบบให้มี 15 เฟรต เพื่อรองรับ การเล่น ที่หลากหลายขึ้น ดังนั้น อูคูเ้ลเล่ขนาด Soprano แบบดั้งเดิม ที่มี 12 เฟรต จึงเหมาะในการเล่นสไตล์ ตีคอร์ดร้องเพลง และง่ายต่อการพกพาไปเที่ยวในที่ต่างๆ เรียกได้ว่า แค่มี อูคูเลเล่ขนาด Soprano หนึ่งตัว กับ หนังสือเพลงเล่มโปรดซักเล่ม ก็หิ้วไปเล่นได้ทุกที่ ที่ต้องการครับ ส่วนถ้าใครชอบแบบมีโซโล่เพิ่มเติม ก็เลือกหารุ่นที่มีจำนวนเฟรตเพิ่มขึ้น ก็จะรองรับการเล่นได้กว้างขึ้นครับ
- Concert มีขนาดที่ใหญ่กว่า soprano ขึ้นมาอีกนิด จึงให้สุ้มเสียงที่ทุ้มๆ ขึ้นมาอีกหน่อย แต่ก็ยังให้อารมณ์ใสๆ หวานๆ ของ soprano เช่นกัน ขนาดที่ใหญ่ขึ้น ก็จะทำให้ finger board ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย และจำนวนเฟรต ก็จะมีเพิ่มขึ้น เป็น 14 ถึง 19 เฟรต แล้วแต่การดีไซน์ ซึ่งก็จะรองรับการเล่นสไตล์ finger picking ได้มากขึ้น

- Tenor มีขนาดใหญ่กว่า Concert ขึ้นมาอีกเช่นกัน ซึ่งถือเป็นรุ่นที่มีขนาดใหญ่สุดในบรรดาอูคูเลเล่ ที่ได้รับความนิยมในการเล่น ด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้น ก็จะมีสุ้มเสียงที่เน้นออกไปทางทุ้มๆ และรองรับการเล่น finger picking ได้เป็นอย่างดี เพราะขนาด finger board ที่ใหญ่ขึ้นตามขนาดตัว ซึ่งนักดนตรีมืออาชีพ จะนิยมเล่นกัน

สรุปกันในเรื่องของไซส์ที่ต้องการ ก็ต้องถามตัวเองว่าเราชอบเล่นแบบไหน และไลฟ์สไตล์ของเราเป็นยังไง ชอบเล่นแบบตีคอร์ดร้องเพลง หรือเล่นแบบนิ้วแพรวพราว ชอบหิ้วไปเล่นที่โน่นที่นี่ หรือว่าต้องหิ้วไปเล่นออกงาน บ่อยๆ ฯลฯ ค้นหาสไตล์ตัวเองให้เจอ แล้วเลือกอูคูเลเล่ รุ่นและขนาดที่คุณถูกใจ 


ขอขอบคุณที่มาจาก

1 ความคิดเห็น: